เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราเกิดเป็นคน เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นคนที่มีปัญญา เวลามีปัญญา เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลาจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ คนมีความเห็นแตกต่างกัน ดูสิ ใบไม้ตกเต็มไปหมดเลย ถ้าคนบอกว่าใบไม้ตกมันเป็นปัญหามาก ตัดต้นไม้ทิ้งหมดเลย เพราะมันมีต้นไม้มันถึงมีใบไม้ ฉะนั้น ถ้าใบไม้ตกก็ตัดต้นไม้ทิ้ง ตัดต้นไม้ทิ้งเพื่อความไม่ต้องมีใบไม้ตก แต่มันก็มีความเดือดร้อน ความร้อนต่างๆ มันเป็นไปหมด นี่ฤดูกาล เวลาเกิดฤดูกาล สิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้น สิ่งนี้กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาร่วมยุคร่วมสมัยเมื่อใด เกิดมาร่วมทุกข์ร่วมสมัยเมื่อเศรษฐกิจมันดี สรรพสิ่งมันดี เราอยู่ในนั้นเราก็มีโอกาส เรามีโอกาสได้ทำมาหากิน ถ้าเรามีการทำมาหากิน ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่เป็นปัจจัยภายนอก ดูสิ เวลาปากกัดตีนถีบ คนทุกข์คนยากมันก็มีความทุกข์นะ เวลาคนที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องมันมีความหิวมีความกระหาย มีความทุกข์มาก ถ้ามีความทุกข์มากนะ คนถ้ามีน้ำใจ ถ้าเจือจานกัน สิ่งนั้นพอเจือจานกัน เวลาเราให้สิ่งของที่เล็กน้อย แต่คนทุกข์คนยาก สิ่งนั้นคือชีวิตของเขานะ เขาอดอาหารจนเขาแสบท้อง เขามีความทุกข์ของเขา แล้วเขาได้รับความเจือจานอย่างนั้น มันเป็นเรื่องของน้ำใจไง
เวลาเรื่องของ ของเล็กน้อย ของเล็กน้อยสำหรับคนที่มี แต่มันเป็นของใหญ่มาก ของดำรงชีวิตเลยสำหรับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งที่ตกทุกข์ได้ยาก ปัจจัยเครื่องอาศัย แม้แต่ความทุกข์ทางโลก ความทุกข์การปากกัดตีนถีบ การหาอยู่หากินมันก็เป็นความทุกข์ ถ้าเป็นความทุกข์ คนเกิดมามีอำนาจวาสนา มีปัญญา ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดพอมีปัจจัยเครื่องอาศัย เขาก็มีความสุขของเขา มีความสุขของเขาพอประมาณ คนที่มั่งมีศรีสุข มีความอุดมสมบูรณ์ เขาก็มีความสุขของเขา ความสุขของเขา ถ้าเขาเพลิดเพลินในทรัพย์สมบัติของเขา เขาว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขของเขา ความสุขอย่างนั้น เขาว่าความสุขอย่างนั้นมันไม่จีรังหรอก มันไม่จีรัง มันไม่เป็นความจริงไง
เวลาความจริงนะ เวลาเรามีสมบัติมหาศาลเลย สิ่งนั้นว่าเป็นความสุขของเราๆ เวลาเราจะพลัดพรากกับมัน มันเป็นความทุกข์ มันเป็นความทุกข์ ความทุกข์มหาศาลเลยว่าสิ่งสิ่งนั้นใครจะดูแลให้เราต่อไป
แต่ถ้าคนเขามีปัญญาของเขา เขาหาปัจจัยเครื่องอาศัยของเขามา เขามีความเจือจานของเขา มีความเจือจานของเขา เขามีอำนาจวาสนาบารมีของเขา เพราะคนชื่นชมในคุณงามความดีของเขา เวลาเขาจะพลัดพรากจากสิ่งนี้ไป เห็นไหม ทรัพย์สมบัติเราได้เจือจานไปแล้ว เราได้เสียสละไปแล้ว เราได้ทำประโยชน์กับโลกแล้ว เราได้ทำประโยชน์กับตัวเราเองแล้ว ประโยชน์กับตัวเราเองไง ประโยชน์กับตัวเราเอง เราพร้อมจะไป เพราะอะไร เพราะมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงไง
ทุกข์จากภายนอก ทุกข์จากปัจจัยเครื่องอาศัย ทุกข์จากการเกิดในวัฏฏะนะ นี่ทุกข์จากการเกิดในวัฏฏะ แต่เราเกิดมาถ้าเรามีสติมีปัญญา มีสติมีปัญญานะ สิ่งที่ต้องแสวงหา ต้องแสวงหาทั้งนั้นแหละ เวลาแสวงหา แสวงหาเพื่ออะไร? เพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย เพื่อดำรงชีวิตไง พระเราก็มีปัจจัย ๔ เวลาไปบวช บาตร บาตรของเธอหรือ บาตรนี้คืออาหารนะ เครื่องนุ่งห่ม ไตรจีวรนี้คือเครื่องนุ่งห่มนะ อยู่ในเรือนว่าง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย น้ำมูตรเน่า สิ่งที่น้ำมูตรเน่า ปัจจัยเครื่องอาศัย มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เครื่องอาศัย ถ้าคนมีสติปัญญา ถ้าเรามีปัจจัยเครื่องอาศัยแล้วเราดำรงชีวิตได้
โลกเวลาเขาขาดแคลน เขาขาดแคลนปากกัดตีนถีบของเขา เขาไม่มีสิ่งใดตกถึงท้อง เขามีความหิวมีความกระหายของเขา เวลาพระเราธุดงค์ไป ธุดงค์ไปไม่มีบ้านเรือนของคนเลย เราอดอาหาร ๒ วัน ๓ วัน เป็นเรื่องปกตินะ เวลาไป เวลาพระสีวลีไปที่ไหนก็มีแต่คนคอยจะเกื้อกูล คอยจะเกื้อหนุน เพราะอะไร เพราะท่านมีลาภมาก มีลาภมากเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่าท่านเคยทำของท่านมา ท่านเคยทำของท่านมา เวลาในสมัยอดีตชาติของท่าน ที่ไหนเขาจะมีการทำบุญ ที่ไหนเขาจะมีสิ่งใดๆ จะเชิญท่านไปเป็นหัวหน้า
คำว่า หัวหน้า หัวหน้าเป็นผู้นำ เป็นผู้นำที่ให้ เป็นผู้นำแล้วมันต้องเสียสละมากกว่าๆ เขาทำของเขามาอย่างนั้นตลอดไง เขาทำอย่างนั้นตลอด เวลาเขามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระมันเป็นการยืนยัน เพราะพระไม่มีอาชีพ พระไม่ได้ทำไร่ไถนา พระต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เดินไป แล้วแต่เขาจะมีศรัทธาของเขา เขามีศรัทธาของเขา เขาก็สละอาหารของเขาตกบาตรอันนั้น มันไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการแข่งขันทางโลกไง แต่มันมีการแข่งขันทางอำนาจวาสนาบารมีไง อำนาจวาสนาบารมีเขาสร้างของเขามา เขาทำของเขามา
นี่ทุกข์ทางโลกๆ แต่คนจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนนะ เวลาจะพลัดพรากมันก็จะทุกข์ในหัวใจไง ถ้าทุกข์ในหัวใจ เราจะมีสิ่งใดเจือจานอันนี้ เราจะมีสิ่งใดเพื่อประโยชน์อันนี้ไง มีสิ่งใด ประโยชน์ของใคร เวลาทุกข์เวลายาก เวลาขาดแคลนเรามองเห็นกันได้นะว่าคนนั้นขาดแคลน คนนั้นมั่งมีศรีสุข คนนั้นอุดมสมบูรณ์ แต่เวลาทุกข์ในใจ เรามีความเพียบพร้อมไปหมดเลย ทำไมหัวใจมันแผดเผา ทำไมหัวใจมันทุกข์ยากขนาดนี้ ถ้าหัวใจทุกข์ยาก แล้วบอกใครได้ล่ะ
ธรรมโอสถ สิ่งที่เกื้อกูลสิ่งนี้ได้มันต้องมีธรรมโอสถไง คำว่า ธรรมโอสถ เวลาคนทุกข์ยากทางโลกเขาไม่มีทางออกของเขา เขาทำร้ายถึงชีวิตของเขานะ แต่คนที่เขามีสติปัญญา เวลาทุกข์ยากเข้าวัด เข้าวัด ดูสิ วัดเป็นอาราม เป็นที่ของผู้ที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือน เขาไปอยู่วัดอยู่วากัน เวลาพระบวชแล้วเป็นผู้เสียสละ อารามิกชน ไม่มีบ้านไม่มีเรือนแล้วก็ไปอยู่วัด อยู่วัดเป็นที่สาธารณะ แล้วผู้ที่คบบัณฑิตๆ ผู้ที่เสียสละมาทางนี้เขาต้องมีสติปัญญา มีสติปัญญาเพราะอะไร
เพราะเวลาในสมัยพุทธกาลเวลาพระบวชใหม่ๆ นะ พระหนุ่มๆ ภิกษุณีสาวๆ พวกที่บริษัท ๔ เขาบอกว่า บวชทำไมยังเด็กน้อยอยู่ ต้องใช้ชีวิตทางโลกก่อน แก่เฒ่าแล้วค่อยมาบวช มาบวชนี้เป็นของแห้งแล้ง ทางโลกเขาคิดว่ามีความสุขๆ ไง
แต่คนถ้าเขามีปัญญา เขาบวชตั้งแต่หนุ่มแต่สาวของเขา เพราะหนุ่มสาวของเขาเดินจงกรมก็สะดวก นั่งสมาธิก็ได้ เขาจะมีโอกาสได้เผชิญกับกิเลสของเขา เขาจะเป็นนักรบรบกับใคร? รบกับอารมณ์ความรู้สึกของตัว สิ่งที่เป็นความทุกข์ๆ เพราะอะไร ความทุกข์เพราะมันไม่เข้าใจ เพราะอวิชชา อวิชชาคือความไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจสรรพสิ่งเลย มันก็แสวงหาสิ่งนั้น ถ้าแสวงหาสิ่งนั้น ถ้ามีสติปัญญา นี่เข้าวัด เข้าวัดขึ้นมา เข้าวัดเข้าวาฟังธรรมเพื่อสติปัญญาของเรา
สติปัญญาที่ไหน เราก็มีสติปัญญาขนาดนี้ ทำมาหากินจะรุ่งเรือง จะมั่งมีศรีสุขขนาดนี้ยังขาดสติปัญญาหรือ ไม่มีสติปัญญาจะสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างไร การสร้างตัวขึ้นมาอย่างนี้มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาทางโลก
ตอนนี้นะ เวลาเขาจะทำธุรกิจกัน เขาจ้างบริษัทที่ปรึกษา จะทำอะไรบริษัทที่ปรึกษาทำให้หมดเลย เขาจ้างได้หมด เขาจ้างคน เขารู้ข้อมูลดีกว่าเราอีก บริษัทต่างชาติมามันรู้เลยเมืองไทยขาดแคลนอะไร จะทำอะไรในเมืองไทย ไอ้คนที่อยู่เมืองไทยยังไม่รู้เลยว่าเราทำธุรกิจอะไร ไอ้เขาอยู่เมืองนอกเขามาเขาทำวิจัยหมดแล้ว มาถึงเขาเปิดบริษัท เขาจ้างบริษัทที่ปรึกษา นี่เรามีปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันทันกันได้ไง
แต่ถ้ามีปัญญานะ เรามีสติปัญญา สติปัญญาเราทำความสงบของใจเราเข้ามา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง เห็นไหม สิ่งที่เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง สิ่งที่ในหัวใจถ้าเรามีสติปัญญารู้เท่าทันความคิดของเรา ความคิดของเรานะ ถ้ามันคิดบวก คนมีบุญกุศลมันจะคิดบวก คิดบวกคิดแต่เรื่องดีๆ เราก็มีความอบอุ่น
เวลาคนเรามีเวรมีกรรมมันคิดลบ คิดแต่เจ็บช้ำน้ำใจ คิดแต่น้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งนั้นมันคายพิษมาให้แต่ความทุกข์ยาก แล้วถ้ามีสติปัญญา คิดทำไม คิดแล้วคิดเล่า แล้วคนเราไม่คิดได้ไหม ถ้าไม่คิด ทำไมถึงไม่คิดล่ะ ถ้ามีสติปัญญามันรู้เท่า มันปล่อยวางของมัน ปล่อยวางของมันนะ ปล่อยวางของมัน มันเป็นอิสระ พอเป็นอิสระ มันไม่ตกอยู่ใต้อวิชชา อยู่ใต้ความไม่รู้อันนั้น นี่นักรบไง
เวลาเราแข่งขันทางโลกนะ เราแข่งขัน เราชนะเขาไปหมด แต่ชนะขนาดไหนสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ เราชนะศึกคูณด้วยร้อยคูณด้วยพัน มันสร้างเวรสร้างกรรม ชนะตัวเองประเสริฐที่สุด แต่ชนะตัวเองได้ไหม ว่าปัญญามันมากๆ...ปัญญามาก ปัญญาปกป้องตัวมันเอง จะเอาแต่ชนะคนอื่นไง ปัญญาที่ชนะตัวเองมันหาไม่ได้หาไม่เจอไง แล้วปัญญาที่หาได้หาเจอมาจากไหนล่ะ
ก็บอก ทำไมต้องไปหาล่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา
แล้วอยากมีความสุขไหมล่ะ อยากชนะตัวเองไหมล่ะ อยากไม่มีความทุกข์ความยากมาเผาลนหัวใจไหมล่ะ
สิ่งที่เราแสวงหาเขาเรียกว่า อามิส สุขนี้มันสุขเจือด้วยอามิส มันต้องมีอารมณ์ความรู้สึก แล้วมันตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกของตัวแล้วถึงจะมีความสุข มันต้องตอบสนองอารมณ์ อยากได้อะไร อยากได้อะไร? อยากใหญ่อยากโต อยาก ความอยากนั่นล่ะตัณหาความทะยานอยาก ต้องตอบสนองมัน แล้วไม่มีวันที่สิ้นสุด ไม่มีวันที่สิ้นสุด
แต่ถ้าเรามีสติปัญญารู้เท่ามันๆ นะ สิ่งที่แสวงหาเราก็แสวงหา พระเรา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบิณฑบาตเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องมีปัจจัย ๔ เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนเขาละ สอนเขาละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตทุกวัน พุทธกิจ ๕ เช้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตโปรดสัตว์ โปรดทั้งชีวิตด้วย แล้วยังได้เทศนาว่าการ ได้เป็นแบบอย่าง เพราะใครแค่ได้เห็นเท่านั้นแหละ เวลาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมงคลชีวิต เป็นมงคลชีวิตเลย ทุกคนอยากเห็น ทุกคนอยากเข้าใกล้ ทุกคนอยากต่างๆ พระเรายังต้องบิณฑบาต พระเรายังต้องแสวงหาอยู่ สิ่งนี้มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย
ฉะนั้น เวลาที่ว่าสิ่งที่เราแสวงหา สิ่งที่ว่าเป็นสมบัติของเรา ก็เป็นสมบัติของเรา แต่สิ่งที่เราจะใช้สติปัญญาควบคุมมันเป็นอัตตสมบัติ มันมีอริยทรัพย์ มันเป็นทรัพย์ภายใน มันเป็นธรรมโอสถ มันเป็นปัญญาภาวนามยปัญญา มันไม่ใช่ปัญญาอย่างที่เราใช้กันอยู่นี้ ถ้าปัญญาที่ใช้กันอยู่นี้ ดูสิ อย่างที่ว่าเขาจ้างที่ปรึกษาทั้งนั้นแหละ จะทำงานอะไรเดี๋ยวนี้สะดวกนะ
สมัยก่อนจะบวช ชาวบ้านเขาต้องมีมีดคนละเล่มไปช่วยกันทำครัว เดี๋ยวนี้โต๊ะจีนนะ สั่งหมดเลย จะบวชนี้สั่งได้หมดเลย มันสะดวกไปหมดแหละ แต่ก่อนได้น้ำใจจากคน บ้านนี้จะบวชใช่ไหม คนก็เอามีดคนละเล่มมาช่วยกันทำครัว มาช่วยกัน น้ำใจทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวนี้ทุกอย่างสั่งได้หมด แล้วสั่งแล้วได้อะไรล่ะ เอาแต่ไฟมาไง สั่งเสร็จแล้วเราก็ไปใช้หนี้ พอเสร็จงานบวชแล้วก็คอยไปจ่ายหนี้ พอจ่ายหนี้ขึ้นมา เห็นไหม
สุขที่พ้นจากความเป็นหนี้ ความเป็นหนี้เป็นทุกข์นะ ความเป็นหนี้มันทุกข์นะ เพราะว่ามันบีบคั้นเราตลอด สิ่งนี้แล้วเราเป็นหนี้เวรหนี้กรรมล่ะ หนี้เวรหนี้กรรมของเรา เวลาสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เราปฏิเสธมันได้ไหม ถ้าเราปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นวาระที่ต้องเป็นอย่างนั้น
ถ้าวาระที่เป็นอย่างนั้น เราต้องมีสติปัญญาแก้ไข แก้ไขของเราไปนะ แก้ไขเหตุการณ์นั้นไป วิกฤติทุกอย่าง สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างจะแก้ไขด้วยปัญญา ทีนี้ถ้าปัญญานะ ถ้าเราทำสมาธิของเรา จิตใจของเราไม่มีความเป็นหนี้ ไม่บีบคั้น มันจะเห็นปัญหา เราแก้ไขปัญหาไปได้ทั้งนั้นแหละ ปัญหาทางโลกก็แก้ได้ ปัญหาทางธรรมก็แก้ได้ ปัญหาทางชีวิตนะ เกิดมาจากไหน ทุกคนสงสัยเกิดจากไหน ทุกคนย้อนกลับเลย ก็เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากไหน? ก็เกิดจากพ่อจากแม่ แล้วเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากพ่อจากแม่แล้วทำไมลูกทุกๆ คนทำไมพ่อแม่สั่งสอนไม่ได้ ลูกทุกคนทำไมไม่เชื่อฟังพ่อแม่ทุกๆ คนไปล่ะ
ลูกที่ดี อภิชาตบุตร เกิดมาแล้วก็มาส่งเสริมพ่อแม่ แต่ลูกที่เกิดมีเวรมีกรรมต่อกัน เกิดมาสร้างแต่ความมัวหมอง สร้างแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจทั้งนั้นแหละ สิ่งที่มันเกิดก็มันเกิดมาจากกรรม การกระทำ ลูก ดูสิ เรารักขนาดไหน ลูกของเรา เรารักขนาดไหน เราดูแลมาขนาดไหน มันบอกว่าพ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รัก มันเป็นปมมาจากนั้นแหละ บางคนนะ เราทิ้งๆ ขว้างๆ มันบอกพ่อแม่รักมันนะ เวลาเราทิ้งๆ ขว้างๆ เราเลี้ยงมาเพราะเด็กคนนี้มันเอาตัวรอดได้ เราเลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ เพราะว่าเด็กมันมีปัญญาอยู่แล้ว มันปลื้มใจมากว่าพ่อแม่รักมัน พ่อแม่รักมัน เพราะอะไร เพราะใจมันดี นี่กรรมไง เกิดจากกรรม แต่มันเกิดจากกรรม มันมีกรรม มีสายบุญสายกรรม มันได้พาดสายกันมา ได้มาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่กันเพราะมันมีสายบุญสายกรรม เพราะทำร่วมกันมา ไม่ทำร่วมกันมามันไม่มาเกิดอย่างนี้หรอก ถ้ามันเกิดอย่างนี้ ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ยิ่งคิดลบ ยิ่งผลักไส ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหา-วิภวตัณหา สิ่งที่เป็นเวรเป็นกรรมเราผลักไส เราไม่ต้องการมันยิ่งเจ็บช้ำน้ำใจนะ
สิ่งใดที่เกิดขึ้นใช้สติปัญญาแก้ไขๆ แก้ไขของเราไป ผลของวัฏฏะ เราได้ทำของเรามาทั้งนั้นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้ วิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นแหละ คำว่า มีที่มาที่ไป แต่ไม่ใช่งอมืองอเท้าไง พอมีที่มาที่ไป แต่มันไปดีได้ สิ่งที่มันไปดี กรรมดีไง
กรรมคือการกระทำ บอกกรรม ล้มเลยนะ เราทำแต่ความไม่ดีมาทั้งนั้นแหละ เราไม่เคยสร้างความดีมาเลยหรือ ถ้าเราไม่ได้สร้างความดีมาเลย เราไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก การเกิดเป็นมนุษย์เป็นการบอกว่ามนุษย์สมบัติ มีศีล ๕ สมบูรณ์ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์เดรัจฉานเขามีจิตวิญญาณเหมือนกัน เขาเกิดเหมือนกัน แต่เกิดมาแล้วทำไมเขาเป็นอย่างนั้นล่ะ
เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดมาแล้ว เกิดถ้ามีสติปัญญา เกิดแล้วเรายังมีสองตา ตาหนึ่งเราประกอบสัมมาอาชีวะทางโลก อีกตาหนึ่งเราหาที่พึ่งทางใจ หาที่พึ่งทางใจ แต่คนที่เขามีปัญญาๆ นะ เขาเกิดตาเดียวนะ เขาเกิดแต่ทางโลกนะ แล้วพอมาทางพระ พระก็มาจากคน พระก็คน ทำไมต้องไปหาพระ
พระมาจากคนแต่พระเขามีสติปัญญา พระเขามีศีล สมาธิ ปัญญา พระเขาสามารถชำระล้างในใจของเขา พระเขาสามารถรั้งใจเขาได้ ถ้าเขารั้งใจเขาได้ เขามีวิธีการรั้งใจเขาไว้ได้ รั้งแล้วเขาสร้างมรรคขึ้นมา สร้างมรรคคือมัคโค ทางอันเอก ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระล้าง ปัญญาที่มันผ่อนคลาย นี่เขาไปหาพระอย่างนั้น เขาหาพระเพราะพระเป็นผู้ประเสริฐไง ประเสริฐที่ไหนล่ะ พระประเสริฐที่ไหน พระก็มาจากคน
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีปัจจัย ๔ เหมือนกัน ต้องมีเครื่องอาศัยเหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วย หมอชีวกเป็นหมอประจำตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนเกิดมามีธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มีกายกับใจ เทวดาเขามีแต่กายทิพย์ เขาไม่มีร่างกายอย่างนี้ เขาไม่มีเหงื่อมีไคล เขาไม่มีสิ่งใดต้องกินอาหารอย่างนี้ เขาอิ่มเต็มของเขาด้วยวิญญาณาหาร อาหารเป็นทิพย์ เขาไม่ต้องการอาหารเป็นคำข้าวอย่างนี้ แต่ถ้าจิตใจที่มันสูงส่ง มันสูงที่นั่น มันชำระกันที่นั่น
ฉะนั้น สิ่งที่เวลาเราทุกข์จนเข็ญใจ ความทุกข์แค่ขาดปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็เป็นความทุกข์มากของโลก แต่คนถ้ามีสติปัญญา มันก็มีความทุกข์เหมือนกัน แต่ปัญญามันมากขึ้น เหมือนกับผู้บริหาร ผู้บริหารต้องรับผิดชอบมาก ผู้ที่เป็นพนักงานเขาก็ทำหน้าที่การงานของเขา ผู้บริหารเขาต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัว รับผิดชอบทั้งองค์กรที่เขาบริหารด้วย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเราประเสริฐเราต้องรับผิดชอบในชีวิตของเรา ชีวิตที่เป็นมนุษย์นี่ ชีวิตที่เป็นโลกนี่ แล้วเราก็ต้องมีสติปัญญาค้นคว้าให้ใจมันเบิกบานด้วย ค้นคว้าให้หัวใจมันผ่องแผ้วด้วย นี่มันมีงานสองชั้นสามชั้น แล้วบอกว่า พระเห็นแก่ตัว พระเห็นแก่ตัว งานก็ไม่ทำ สิ่งใดก็ไม่ได้
งานที่ทำมันมีงานนอก-งานใน งานที่เอาใจของตัวเอาไว้ในอำนาจของเรา งานที่พยายามไม่ให้จิตใจนี้มันฟุ้งซ่าน มันหนักหนาสาหัสสากรรจ์กว่างานอาบเหงื่อต่างน้ำที่เราทำกันอยู่นี้มากนัก งานอาบเหงื่อต่างน้ำนี้ถ้ามันขาดตกบกพร่องก็ไหว้วานเจือจานกัน มีคนจะช่วยเหลือเจือจาน ผู้ที่ผ่านงานมาแล้วเขาพยายามจะส่งเสริม เขาพยายามจะชี้แนะเราได้
แต่ในการประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แม้แต่มีครูบาอาจารย์คอยบอก ครูบาอาจารย์ คนทำงานเป็นนะ มันของง่ายๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านเสร็จแล้วมันง่ายๆ แต่เวลาเขาจ้ำจี้จ้ำไชลูกศิษย์ลูกหามันง่ายไหมล่ะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันต้องทำขึ้นมาเองไง ผู้ที่บอกก็แค่ได้บอก แต่ทางโลกทำแทนเลยนะ อ้าว! ลูกทำไม่ได้ พ่อแม่ทำแทน ใครทำไม่ได้ เดี๋ยวทำให้เลย เอาให้ถึงที่เลย เราทำแทนกันได้ แต่งานประพฤติปฏิบัติแค่ชี้ทาง แค่ชี้ทาง
ฉะนั้น ขณะที่ว่าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงของเรา เราจะเห็นว่าทางโลกมันก็ทุกข์ แล้วเวลาจะปฏิบัติทุกข์มากกว่า ทุกข์มากกว่าแน่นอน ดูสิ พระที่เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เดินจนเท้านี้เลือดนองทางจงกรมเลยล่ะ นี่เวลาฝ่าเท้าแตก เวลานั่งสมาธิ ๑๒-๑๓ ชั่วโมง นั่งทีทั้งวันทั้งคืน หลวงปู่ตื้อนั่งตลอดเลย แล้วทำอย่างไรล่ะ
เขาพยายามเอาชนะตนเองให้ได้ เอาชนะตนเองให้ได้ เขามีความเข้มแข็งแค่ไหน แล้วไอ้งานอย่างนี้งานด้วยน้ำใจนะ เพราะไม่มีใครบังคับ ทำขนาดนั้นน่ะ แล้วบอกว่า เห็นแก่ตัวๆ เห็นไหม กว่าจะประพฤติปฏิบัติได้
ฉะนั้น เวลาพระเจ้าพิมพิสารเห็นเจ้าชายสิทธัตถะออกมา ให้กองทัพครึ่งหนึ่งไปเอาคืน
ไม่ใช่ มีเจตนาตั้งใจออกหาโพธิญาณ
ถ้าอย่างนั้นประพฤติปฏิบัติเสร็จแล้วให้กลับมาสั่งสอนด้วย กลับมาบอกด้วย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทศนาว่าการพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน นี่สร้างสมกันขึ้นมา ทำกันขึ้นมา ถ้ารู้จริงเห็นจริงมันชี้นำได้จริง มันปฏิบัติได้จริง
ฉะนั้น ทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางร่างกาย ทุกข์ทางสังคมอย่างหนึ่ง ทุกข์ทางที่กิเลสมันบีบคั้น มันเผาลนใจเรานี่ทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ไปอยู่ในที่สุขสงบขนาดไหนมันก็เผาลนหัวใจ เราต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาแก้ไข แยกแยะ ทำเพื่อประโยชน์กับเรา หัวใจของเราให้พ้นจากทุกข์ เอวัง